สอนว่า การเดินทางไกล หรือเดินทางไปในป่า หรือที่อาจจะมีภัยอันตรายอย่าเดินคนเดียวเปลี่ยวกายเปลี่ยวใจ ไร้เพื่อนคู่คิดคู่ตาย
คนโบราณมีคำพังเพยว่า "คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย สามคนกลับบ้านได้"
๓๐. น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ
น้ำเชี่ยว -น้ำทีไหลมาโดยเร็วและโดยแรง เชี่ยวกราก หมายถึงน้ำที่ไหลมาจากที่สูงโดยแรง เสียงดังกราก
ขวางเรือ - เอาเรือขวางลำกลางน้ำไหลเชี่ยว เรือจะล่ม
สอนว่า น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือขวาง เรือจะล่ม เปรียบได้กับอารมณ์โกรธของคนมีโทษะแรง ก็เหมือนน้ำไหลเชี่ยว อย่าเอาตัวเข้าขวางหน้าขวางตาขวางอารมณ์โกรธของผู้มีอำนาจ เหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงโดยเร็วก็เหมือนน้ำกำลังไหลเชี่ยว อย่าเข้่าไปขวางทันที จะได้ไม่มีภัยอันตราย
ประโยคว่า "น้ำเชี่ยวอย่าขวางเรือ" นี้เป็นคำพูดติดปากคนไทยมาช้านานถึงทุกวันนี้
๓๑. ที่ซุ้มเสือจงประหยัด
ที่ซุ้ม - หมายถึง ที่พุ่มไม้ปกคลุม เป็นที่ร่มชิดปิดบัง สำหรับเป็นทีบังแดดบังลม บังฝน และบังตาคน เรียกว่า "ซุ้ม" เป็นที่ซ่อนของเสือ สัตว์ร้าย หรือโจร ซุ้มธรรมชาติก็มี ซุ้มที่คนเอากิ่งไม้มาทำไว้ก็มี
ฉบับของกรมศิลปากรว่า "ที่สุ้ม" นั้นน่าจะผิด "สุ้ม" นี้ เป็นคำกิริยาแปลว่าเข้าไปหลบซ่อนนิ่งเงียบในที่ลับ
ส่วน "ซุ้ม" น้ันเป็นคำนาม เป็นคำไทยเก่าแก่ ชาวชนบทรู้จักกันดีว่า .ซุ้มคืออะไร ซุ้มคืออย่างไร เขาหมายถึงที่หลบซ่อนที่กำบัง
ซุ้มเสือ - ที่หลบซ่อนของเสือ ซึ่งหมายถึงทั้งสัตว์ดุร้าย และโจรฆ่าคนด้วย เรียกว่าเสือ หรืออ้ายเสือ
ประหยัด - ระมัดระวังกาย เป็นภาษาเขมร แปลว่า ระมัดระวัง ที่จริงคำว่า ประหยัด มีความหมายลึกซึ้ง หมายถึงค่อยๆโผล่กายเข้าไปอย่างระมัดระวังทีละน้อย ไม่โผล่พรวดเข้าไปทัังตัว เพื่อที่จะหลบหลีกหรือเลี่ยงหนีได้ทันท่วงที
สอนว่า ที่ซุ้มไม้ปกปิด มิดชิด จงระมัดระวังตนให้ดี อาจจะมีเสือป่าซุ่มซ่อนอยู่ อาจมีคนร้ายแฝงกายอยู่ มันจะทำร้ายเอา คนบ้านนอกบ้านป่าจะเข้าใจคำสอนนี้เป็นอย่างดี
ฉบับสมเด็จกรมพระยาปวเรศฯ ใช้คำว่า "ซุ้ม" ซึ่งถูกต้อง
๓๒. เร่งระมัดฟืนไฟ
ฉบับกรมศิลปากรว่า "จงเร่งมัดฟืนไฟ"
ฉบับสมเด็จกรมพระยาปวเรศฯ ว่า "เร่งระมัดฟืนไฟ" เข้าใจว่าของกรมศิลปากร เติมคำว่า "จง" ไปคำหนึ่ง เมื่ออ่านดูแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีจง อยู่ข้างหน้า
เร่ง - มีความหมายหนักแน่นว่า ให้รีบกระทำอยู่แล้ว เมื่อตัดคำว่า "จง" ฟังดูไพเราะกว่า คำกระทัดรัดกว่า และมี ๕ พยางค์พอแล้ว
ระมัด - เป็นคำเขมร แปลว่า รัดกุม กระทัดรัด ไทยพูดว่า กระทัดรัดมัดกุม มาจากคำว่า รัด แผลงเป็นระมัด คำว่าระมัด นี้ต่างกับคำว่า ระวัง เพราะคำว่า ระวัง ต้องเฝ้าระวัง ตั้งตาคอยระวัง ตั้งใจคอยดู แต่คำว่า "ระมัด" แปลว่า ทำให้รัดกุม เหมาะสม รอบคอบ เป็นการป้องกันอันตราย ไม่ต้องคอยระวัง เช่น ไม่จุดไฟทิ้งไว้ ไม่เอาเชื้อฟืนกองไว้ใกล้ไฟ ไม่จุดธูปบูชาพระทิ้งไว้ อย่างนี้เรียกว่า ระมัด
สอนว่า ให้ทำการให้รัดกุม ป้องกันมิให้ไฟลุกไหม้ขึ้น เช่นหุงข้าวแล้วก็ต้องดับไฟเสีย ไม่ปล่อยทิ้งถ่านไว้ในเตา ต้องระมัดทั้งฟืนและเชื้อไฟ และไฟที่ใช้แล้วก็ดับเสีย ไม่ทิ้งไว้
คำโคลงโลกนิติว่า
"อย่าหมิ่นของเล็กนั้น สี่สถาน
เล็กพริกพระกุมาร จืดจ้อย
งูเล็กเท่าสายพาน พิษยิ่ง
ไฟเล็กเท่าหิ่งห้อย อย่าได้ดูแคลนฯ "
๓๓. ตนเป็นไทยอย่าคบทาษ
ไทย - มาจากคำว่า "ไท" แปลว่า ความเป็นใหญ่ ความเป็นอิสระ ความเป็นผู้ให้ ความเป็นผู้คุ้มครองป้องกัน
ทาษ - โบราณเขียนว่า "ทาษ" แปลว่า ความเป็นเด็ก เช่นคำว่า ทารก ความไม่มีอิสระแก่ตัว ความเป็นผู้รับ ความเป็นผู้อยู่ในความคุ้มครองป้องกัน ความเป็นผู้อ่อนแอโง่เขลา
สอนว่า เมื่อตนเป็นใหญ่ มีความเป็นใหญ่ เป็นอิสระ เป็นผู้ให้ความคุ้มครอง เป็นผู้เหนือกว่าก็อย่าคบทาษ ซึ่งเป็นผู้น้อย เป็นผู้ไม่มีอิสระแก่ตัว เป็นผู้รับทานรับใช้ คำว่าคบในที่นี้หมายถึง การรักใคร่ได้เสียเป็นผัวเมีย และการคบคิดในทางผิดทางชั่วร้าย
มงคล ๓๘ ประการ พระพุทธศาสนาก็สอนว่า
"อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา
ปูชา จ ปูชนียานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ "
การคบบัณฑิต ( คือผู้รู้ฉลาด ) การไม่คบคนพาล (คือคนโง่เขลาอ่อนความคิด) เป็นมงคลอันอุดม
ทาษ ในทีนี้ก็เท่ากับคนโง่เขลา คนอ่อนความคิด สุภาษิตนี้จึงมีที่มาจากพุทธภาษิต
๓๓. ตนเป็นไทยอย่าคบทาษ
ไทย - มาจากคำว่า "ไท" แปลว่า ความเป็นใหญ่ ความเป็นอิสระ ความเป็นผู้ให้ ความเป็นผู้คุ้มครองป้องกัน
ทาษ - โบราณเขียนว่า "ทาษ" แปลว่า ความเป็นเด็ก เช่นคำว่า ทารก ความไม่มีอิสระแก่ตัว ความเป็นผู้รับ ความเป็นผู้อยู่ในความคุ้มครองป้องกัน ความเป็นผู้อ่อนแอโง่เขลา
สอนว่า เมื่อตนเป็นใหญ่ มีความเป็นใหญ่ เป็นอิสระ เป็นผู้ให้ความคุ้มครอง เป็นผู้เหนือกว่าก็อย่าคบทาษ ซึ่งเป็นผู้น้อย เป็นผู้ไม่มีอิสระแก่ตัว เป็นผู้รับทานรับใช้ คำว่าคบในที่นี้หมายถึง การรักใคร่ได้เสียเป็นผัวเมีย และการคบคิดในทางผิดทางชั่วร้าย
มงคล ๓๘ ประการ พระพุทธศาสนาก็สอนว่า
"อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา
ปูชา จ ปูชนียานํ เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ "
การคบบัณฑิต ( คือผู้รู้ฉลาด ) การไม่คบคนพาล (คือคนโง่เขลาอ่อนความคิด) เป็นมงคลอันอุดม
ทาษ ในทีนี้ก็เท่ากับคนโง่เขลา คนอ่อนความคิด สุภาษิตนี้จึงมีที่มาจากพุทธภาษิต
(โปรดติดตามตอนต่อไป)